ทำความเข้าใจ กับยาขับเลือด
ยาขับเลือด หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า เป็นยายุติการตั้งครรภ์ แต่ว่า ยาขับเลือด เป็นยาที่ใช้สำหรับผู้หญิง สามารถช่วยเรื่องของประจำเดือนผิดปกติของผู้หญิงได้ มักจะนิยมกินเพื่อบำรุงเลือด และขับประจำเดือน
ยาขับเลือด หรือยาสตรี เป็นยาที่ประกอบด้วยสมุนไพร เช่น ตังกุย ขิง พริกไทย ว่านชักมดลูก เป็นต้น สมุนไพรดังกล่าว มีฤทธิ์ของฮอร์โมน ไฟโตเอสโทรเจน ( Phytoestrogen ) ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิง ส่งผลให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้น หากไม่มีเด็กทารกในมดลูก เยื่อบุโพรงมดลูกก็จะหลุดออกมาเป็นประจำเดือน
ยาขับเลือด หรือ ยาสตรี จะใช้สำหรับผู้หญิงที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือเลือดลมในร่างกายไม่ปกติ เพราะ ยาขับเลือด จะมีฤทธิ์กระตุ้นฮอร์โทนเพศหญิง และปรับฮอร์โมนให้ประจำเดือนมาอย่างต่อเนื่อง โดย ยาขับเลือด ที่สกัดมาจากสมุนไพรหลายชนิด จะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
1. ออกฤทธิ์ขับลม บำรุงร่างกาย บำรุงเลือด เช่น น้ำมันสะระแหน่ ดอกคำฝอย ชะเอม ขิง
2. ออกฤทธิ์ฮอร์โมน เช่น ว่านชักมดลูก กวาวเครือขาว หากกินกลุ่มสมุนไพรนี้แล้ว จะช่วยกระตุ้นในเยื่อบุโพรงมดลูกหนา เป็นเหมือนยาปรับฮอร์โมน พอหยุดกิน 2-3 วัน ฤทธิ์ฮอร์โมนหมด ก็จะมีประจำเดือนมา แต่สำหรับคนท้อง จะมีฮอร์โมนออกมาเองตลอดเวลา แม้ว่าจะกิน ยาขับเลือด เข้าไป ก็ไม่สามารถทำให้เลือดออกจนแท้งได้
3. แอลกอฮอล์ คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า ยาขับเลือด บางตัวมีแอลกอฮอร์ผสมอยู่ด้วย ทำให้คนท้องที่กินเข้าไปในปริมาณเยอะ อาจจะแท้งได้ หรือลูกในท้องอาจจะมีความผิดปกติของสมอง ใบหน้า การเจริญเติบโต
หลายคนเข้าใจผิดว่า กินยา ขับเลือด คือ ยายุติการตั้งครรภ์ แต่ยายุติการต้องครรภ์ จะมีชื่อว่า ไมเฟฟริสโตน ( Mifepristone ) ที่ใช้ชื่อทางการค้าว่า RU486 เป็นสารต่อต้านฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ( Progesterone ) ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์โดยการจับกับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ซึ่งทำให้ตัวอ่อนไม่สามารถฝังตัว ในเยื่อบุโพรงมดลูกได้
และ ไมโซพรอสทอล ( Misoprostol ) ที่มีชื่อทางการค้าว่า Cytotec เป็นยาในกลุ่ม พรอสตาแกลนดิน ซึ่งคุณสมบัติของยา ใช้สำหรับการรักษาโรคกระเพาะอาหาร แต่มีผลข้างเคียงทำให้ปากมดลูกบาง และมดลูกบีบตัว
ปัจจุบัน มียารวมเม็ดเรียกว่า เมทตาบอล ซึ่งสูตรของยาดังกล่าว ได้ขึ้นทะเบียนเป็นบัญชียาหลักขององค์การอนามัย ( World Health Organization – WHO ) สามารถใช้ในอายุครรภ์ น้อยกว่า 9 สัปดาห์ได้
ไมเฟฟริสโตน ( Mifepristone ) หรือ RU486 และ ไมโซพรอสทอล ( Misoprostol ) หรือ ไซโตเทค ( Cytotec ) ขึ้นทะเบียนในประเทศไทย เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2557 ใช้ในอายุครรภ์ไม่เกิน 9 สัปดาห์ ขึ้นทะเบียนเพื่อรักษาโรคกระเพาะ รักษาโรคทางนรีเวช แต่ยาชนิดนี้ก็มีข้อห้ามในกรณีต่อไปนี้
1. เป็นโรคไต หรือโรคต่อมหมวกไตขั้นรุนแรง
2. เป็นโรคเลือดขึ้นรุนแรง มีภาวะเลือดออกไม่หยุด
3. เป็นโรคหอบหืด ต้องใช้ยาควบคุมอาการ
หากคุณตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม นอกจากยา ไมเฟฟริสโตน ( Mifepristone ) หรือ RU486 และ ไมโซพรอสทอล ( Misoprostol ) หรือ ไซโตเทค ( Cytotec ) ก็คือที่เรียกกันว่า ยาสอด เป็นยาที่ใช้เพื่อกระตุ้นให้เกิดการแท้งบุตร
ยาสอด หรือ ไซโตเทค ( Cytotec ) เป็นยา Prostaglandin E 1 เป็นยารักษาโรคกระเพาะ โดยเฉพาะที่เกิดจากการใช้ยาต้านอักเสบ เป็นยาที่หมอสูติ มาใช้เพื่อเตรียมปากมดลูก ก่อนการทำหัตถการในมดลูก ใช้เพื่อเกิดการแท้ง
ผู้หญิงคนต้องการความเป็นส่วนตัว จึงต้องใช้ ไมเฟฟริสโตน ( Mifepristone ) หรือ ไมโซพรอสทอล ( Misoprostol ) ซึ่งมีประสิทธิภาพในการใช้งาน 98% เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้หญิงหลายคนที่ ตั้งครรภ์ โดยไม่พร้อม
ยาสอด หรือ ไซโตเทค ( Cytotec ) ทำให้มดลูกเกิดภาวะบีบตัว และมีการขับเลือด เหมือนกับการขับประจำเดือน แต่จะมีเลือดไหลในปริมาณที่มากกว่า โอกาสสำเร็จมากถึง 90%
ผู้ที่ไม่ควรใช้ ยาสอด
1. ผู้ที่ผ่านการคลอดลูกแบบผ่าตัด สามารถทำได้โดยการกินเท่านั้น และต้องมีอายุครรภ์ไม่เกิน 7 สัปดาห์
2. คนที่ตั้งครรภ์นอกมดลูก หากมีอาการ ปวดท้องรุนแรง และมีเลือดให้แพทย์วินิจฉัยดูก่อน ว่าใช่การตั้งครรภ์ภายนอกมดลูกหรือไม่ หากท้องนอกมดลูก ต้องได้รับการผ่าตัดเท่านั้น
3. อายุครรภ์มากว่า 25 สัปดาห์
ประเทศไทยมีสถิติการตั้งครรภ์เยอะมาก เมื่อไม่มีความพร้อม เราจึงต้องหาทางออก หากต้องการที่จะใช้ ยาสอด ยาขับเลือด ก็ควรศึกษาอย่างละเอียดเสียก่อนทานยาเข้าไป
บทความเพิ่มเติม
ยาขับเลือด กับ ผลข้างเคียง หลังใช้ที่อาจตามมา
ยาขับเลือด กับความจริงที่มักมีคน เข้าใจผิด
ยาขับเลือด กับอาการ ดราม่า ก่อนมี ประจำเดือน
https://www.cytotank.org/blog/read/25